รัฐบาลให้ความสำคัญในการเพิ่มรายได้ภาคการเกษตรเป็น 3 เท่าใน 4 ปี
รัฐบาลมีนโยบายมุ่งเน้นที่จะเพิ่มรายได้ภาคการเกษตรเป็น 3 เท่าใน 4 ปี ด้วยหลักการ “ตลาดนำ นวัตกรรมเสริม เพิ่มรายได้” โดยมีแนวทางสำคัญเพื่อเร่งผลักดันให้เกษตรกรและสถาบันเกษตรกรมีความเข้มแข็ง เช่น การยกระดับสินค้าเกษตร เสริมศักยภาพเกษตรกร และเพิ่มมูลค่าสินค้าเกษตร ที่ผ่านมาบทบาทของเกษตรกรไทย มีความสำคัญต่อเศรษฐกิจและสังคม เป็นกลไกสำคัญต่อการสร้างความมั่นคงทางอาหารให้กับประเทศ และเป็นฟันเฟืองหลักในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจด้วยการสร้างงาน สร้างรายได้ ให้กับประชาชน

รัฐบาลเร่งแก้ปัญหาราคาผลปาล์มตกต่ำอย่างต่อเนื่อง 
(29 พฤษภาคม 2567) ร้อยเอก ธรรมนัส พรหมเผ่า รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ลงพื้นที่เพื่อรับฟังปัญหาและหาแนวทางแก้ไขราคาปาล์มน้ำมันตกต่ำ ณ ศูนย์เรียนรู้การเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตสินค้าเกษตร (ศพก.) จังหวัดสุราษฎร์ธานี โดย เกษตรกรชาวสวนปาล์มกำลังประสบปัญหาความเดือดร้อนราคาปาล์มตกต่ำ เนื่องจากในช่วงไตรมาสที่ 2 ของปีนี้ ถือเป็นช่วงที่ปาล์มน้ำมันมีผลผลิตออกมามากที่สุดของปี ส่งผลให้ราคาปาล์มน้ำมันลดลงอย่างต่อเนื่อง
ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรี ได้มอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ทั้งกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงอุตสาหกรรม และกระทรวงพลังงาน ทำงานร่วมกันในการเร่งหามาตรการแก้ไข ซึ่งที่ประชุมคณะรัฐมนตรีเศรษฐกิจ เมื่อวันที่ 27 พฤษภาคม 2567 ได้กำหนด 6 มาตรการแก้ไขปัญหาราคาปาล์มน้ำมันตกต่ำ 

6 มาตรการ แก้ไขปัญหาราคาปาล์มน้ำมันตกต่ำ
     1. กำหนดให้มีการซื้อขายตามราคาที่ประกาศจากสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน กระทรวงพลังงาน 
     2. เพิ่มสัดส่วนการผสมไบโอดีเซล โดยผลักดันการใช้ไบโอดีเซลเพิ่มขึ้นจาก B7 เป็น B10
     3. ส่งเสริมและผลักดันการส่งออกน้ำมันปาล์มดิบ (CPO) และน้ำมันไบโอดีเซล (B100) เพิ่มขึ้น โดยใช้มาตรการการอุดหนุนการส่งออก และขยายตลาดเพิ่มขึ้นในฝั่งยุโรป
     4. การเก็บสต๊อกน้ำมันปาล์มดิบเพื่อรักษาสมดุลราคาและเสถียรภาพด้านพลังงานภายในประเทศโดยองค์การคลังสินค้า
     5. ส่งเสริมและผลักดันการใช้น้ำมันปาล์มดิบในอุตสาหกรรมอื่น นอกเหนือจากอุตสาหกรรมอาหารและพลังงาน เช่น การนำไปใช้เป็นเชื้อเพลิงในโรงผลิตไฟฟ้า
     6. ป้องกันการนำเข้าจากประเทศเพื่อนบ้านโดยผิดกฎหมายอย่างเคร่งครัด
 (11 มิถุนายน 2567) นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี ประชุมร่วมกับ กระทรวงพลังงาน กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงพาณิชย์ และกระทรวงการคลัง เพื่อหาข้อสรุปที่ชัดเจนเกี่ยวกับมาตรการการแก้ปัญหาราคาผลปาล์มตกต่ำ เพื่อช่วยเหลือพี่น้องเกษตรกร ก่อนเข้า ครม. ซึ่งเป็นประเด็นที่ต่อเนื่องจากการประชุมคณะรัฐมนตรีเศรษฐกิจ เมื่อวันที่ 10 มิถุนายน ที่ผ่านมา 

ผลกระทบลูกโซ่ เมื่อผู้ค้ารายใหญ่ตามมาตรา 7 ไม่ได้ซื้อ B100 ตามประกาศ
ปัจจุบันผู้ค้าน้ำมันเชื้อเพลิงมีการต่อรองราคาส่วนลดจากผู้ผลิตไบโอดีเซล ทำให้ราคาซื้อขายไม่เป็นไปตามราคาประกาศ ทำให้ส่งผลกระทบเป็นลูกโซ่ใน Supply Chain ของน้ำมันไบโอดีเซล ทำให้ราคาการซื้อผลปาล์มสดจากเกษตรกรตกต่ำ 

รู้จัก B100 และ ผู้ค้าตามมาตรา 7
ไบโอดีเซล (B100) เป็นเชื้อเพลิงเหลวที่ใช้งานได้เหมือนน้ำมันดีเซลธรรมดา แต่ผลิตจากวัสดุทางชีวภาพ ซึ่งทำได้โดยนำพืชน้ำมัน และน้ำมันที่ประกอบอาหารที่ใช้แล้วมาผ่านกระบวนการทางเคมีกลายเป็นไอโอดีเซล เราสามารถนำไบโอดีเซลมาผสมในน้ำมันดีเซลได้ตามสัดส่วนที่ต้องการ กรณีใช้ไปโอดีเซลล้วน เรียกว่า ไบโอดีเซล 100 % หรือ B100 ซึ่งเหมาะกับเครื่องยนต์ดีเซลรอบต่ำ หรือเครื่องจักรการเกษตร หากต้องการใช้ในรถยนต์จะต้องผสมในสัดส่วนไบโอดีเซล 5 ส่วน ต่อน้ำมันดีเซล 95 ส่วน จะได้เป็นไบโอดีเซลสูตร B5 
ผู้ค้าน้ำมันตามมาตรา 7 แห่ง พ.ร.บ. การค้าน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ. 2543 ระบุว่า หมายถึง ผู้ค้าน้ำมันที่มีปริมาณการค้าน้ำมันเชื้อเพลิงแต่ละชนิด หรือรวมทุกชนิดปีละตั้งแต่ 100,000 เมตริกตัน (ประมาณ 120 ล้านลิตรขึ้นไป) 

เคาะให้ผู้ค้ารายใหญ่ตามมาตรา 7 ซื้อ B100 จากโรงกลั่น 30 บาท/ลิตร
สำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน ได้ประกาศราคานำร่อง ว่าให้ผู้ผลิตรายใหญ่ หรือผู้ค้ารายใหญ่ตามมาตรา 7 จะต้องซื้อ B100 จากโรงกลั่น ในราคาลิตรละ 30 บาท (จากเดิม 27 บาท/ลิตร) โดยนายกรัฐมนตรี ได้มอบหมายปลัดกระทรวงพลังงานให้ไปเจราจากับผู้ค้ารายใหญ่ โดยให้กระทรวงพลังงานควบคุมกำกับดูแลให้มีการซื้อขายราคา B100 เป็นไปตามนโยบายรัฐบาล ทั้งนี้ ผู้ค้ารายใหญ่ เช่น ปตท. บางจาก ยอมรับการเจรจาและรับปากว่าจะซื้อ B100 ตามประกาศดังกล่าว 
นอกจากนี้ ยังมอบหมายให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และกระทรวงพาณิชย์ เข้าไปกำกับดูแลพ่อค้าคนกลางกับโรงสกัด CPO โดยจะใช้มาตรการในการขึ้นทะเบียน ลานเท โรงสกัด CPO เพื่อที่จะควบคุมให้ซื้อผลปาล์มสดจากเกษตรกรในราคาที่เป็นธรรม

รัฐบาลดูแลทั่วถึงตั้งแต่ต้นน้ำ – ปลายน้ำ
กลยุทธ์การกำหนดราคาซื้อ B100 ที่ปลายทาง (โรงกลั่นไบโอดีเซล) ซึ่งสำนักนโยบายและแผนพลังงาน คำนวณแล้วว่าถ้าผู้ค้ารายใหญ่ตามมาตรา 7 รับซื้อ B100 ที่ราคาลิตรละ 30 บาท จะทำให้เกษตรกรขายผลปาล์มสดในราคาที่สูงขึ้น กิโลกรัมละ 4.70 – 4.90 บาทขึ้นไป