(23 พ.ย. 67) นางสาวศศิกานต์ วัฒนะจันทร์ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า รัฐบาลโดยกระทรวงสาธารณสุข เปิดตัว “ตู้ห่วงใย” สานต่อนโยบาย 30 บาทรักษาทุกที่ บริการการแพทย์ทางไกลเชิงรุกในชุมชน โดยให้บริการครอบคลุมภาวะเจ็บป่วย 42 กลุ่มโรค ถือเป็นสถานีสุขภาพที่ช่วยให้ประชาชนพบแพทย์ผ่านระบบวิดีโอคอล ลดความแออัดของโรงพยาบาลและระยะเวลารอคอยการรักษาพยาบาล หลังนำร่องแห่งแรกที่ชุมชนสหกรณ์เคหสถานเจริญชัยนิมิตใหม่ แขวงลาดยาว เขตจตุจักร กรุงเทพมหานคร และเตรียมพร้อมขยายผลให้ได้ 50 แห่งในกรุงเทพฯ และขยายการให้บริการในพื้นที่ต่างจังหวัดทั่วประเทศต่อไป
เปิดนวัตกรรม ‘ตู้ห่วงใย’
“ตู้ห่วงใย” เป็นนวัตกรรมใหม่ที่เพิ่มเติมบริการในระบบหลักประกันสุขภาพ สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) ร่วมกับภาคเอกชน
• พัฒนาตู้ห่วงใยเพื่อดูแลสุขภาพประชาชนในพื้นที่ที่ไม่สะดวกในการเดินทางไปหน่วยบริการปฐมภูมิ โดยมีลักษณะเป็น Health Station ที่ติดตั้งอุปกรณ์สื่อสารและอุปกรณ์วัดสัญญาณชีพต่าง ๆ เช่น ความดันโลหิต อัตราการเต้นของหัวใจ และค่าสุขภาพพื้นฐานอื่น ๆ เพื่อให้คนในชุมชนสามารถตรวจค่าสุขภาพพื้นฐานที่แม่นยำ และรับผลการตรวจทันที
• ใน 1 วัน ตู้ห่วงใยสามารถให้บริการได้ถึง 72 คน เฉลี่ย 1 ชั่วโมงต่อ 6 คน
• สามารถพบแพทย์ผ่านระบบวิดีโอคอล และกรณีที่ต้องรับยาสามารถเลือกรับยาที่บ้าน หรือไปรับที่ร้านยาที่เข้าร่วมโครงการ 30 บาทรักษาทุกที่ ด้วยตัวเองก็ได้
โดยชุมชนก็จะเป็นผู้ดูแลรักษาตู้ห่วงใยให้อยู่ในสภาพที่ดีและพร้อมใช้งานอยู่เสมอ ซึ่งนวัตกรรมนี้จะช่วย
ให้ประชาชนสามารถเข้าถึงบริการทางการแพทย์ได้ครอบคลุม สะดวก รวดเร็ว มากขึ้น
สธ. พร้อมขยายตู้ห่วงใยทั่วประเทศ
นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า “รัฐบาลมีเป้าหมายที่จะยกระดับระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติผ่านนโยบาย “30 บาท รักษาทุกที่” เพื่อให้คนไทยได้รับบริการที่ดี ครอบคลุมและทั่วถึง โดยการขับเคลื่อนนโยบายนี้ให้สำเร็จจำเป็นต้องพัฒนานวัตกรรมบริการรูปแบบใหม่
โดยใช้เทคโนโลยีที่ทันสมัย อย่างการเปิดนวัตกรรมบริการ “ตู้ห่วงใย” ในครั้งนี้ ซึ่งจะช่วยให้พี่น้องประชาชนเข้าถึงบริการสุขภาพที่มีคุณภาพและมาตรฐานผ่านระบบออนไลน์ได้อย่างสะดวก รวดเร็ว และใกล้บ้าน พร้อมบริการจัดส่งยาถึงบ้านโดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่าย อีกทั้งยังจะช่วยลดความแออัดและระยะเวลารอคอยการรักษาพยาบาลได้อีกด้วย นำร่องให้บริการ “ตู้ห่วงใย” ในพื้นที่กรุงเทพมหานคร โดยติดตั้งที่ชุมชนสหกรณ์เคหสถานเจริญชัยนิมิตใหม่ เป็นแห่งแรก และจะขยายไปยังพื้นที่อื่น ๆ ทั่วประเทศต่อไป และเชื่อว่าตู้ห่วงใยจะเป็นส่วนหนึ่งในการขับเคลื่อนนโยบาย 30 บาทรักษาทุกที่ ให้ส่งมอบบริการสุขภาพที่ดีแก่ประชาชนทุกคน”
นพ.จเด็จ ธรรมธัชอารี เลขาธิการสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) กล่าวว่า สปสช. ได้พัฒนาระบบบัตรทองมาอย่างต่อเนื่อง โดยปีนี้เป็นการดำเนินการเข้าสู่ปีที่ 23 และนโยบาย 30 บาทรักษาทุกที่ นับเป็นอีกหนึ่งจุดเปลี่ยนครั้งสำคัญของระบบบัตรทอง ไม่เพียงแต่เพิ่มความสะดวกในการเข้ารับการรักษาพยาบาลให้กับประชาชนผู้มีสิทธิร่วม 48 ล้านคน ที่นอกจากเข้ารับบริการที่หน่วยบริการปฐมภูมิหรือประจำแล้ว ยังสามารถเข้ารับบริการได้ที่หน่วยบริการปฐมภูมิทุกแห่ง และในกรุงเทพมหานครยังได้มีหน่วยบริการนวัตกรรม 18 ประเภท จำนวนกว่า 1,600 แห่ง เข้ามาร่วมให้บริการ
ตู้ห่วงใยเป็นอีกก้าวหนึ่งที่ สปสช. ได้เพิ่มเติมเป็นบริการในระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ เป็นรูปแบบของการให้บริการสุขภาพเชิงรุกในชุมชนที่ให้การดูแลหากเกิดภาวะเจ็บป่วยขึ้นโดยครอบคลุม 42 กลุ่มโรค เบื้องต้นจะเป็นการนำร่องในกรุงเทพมหานครก่อน โดยได้ทำการติดตั้งที่ชุมชนสหกรณ์เคหสถานเจริญชัยนิมิตใหม่เป็นแห่งแรก และในเร็วๆ นี้ จะติดตั้งที่ สถานีกลางบางซื่อ โครงการเคหะชุมชนดินแดง 1 และ 2 และมีแผนที่จะขยายการติดตั้งตู้ห่วงใยไปยังสถานที่ต่าง ๆ ต่อไป
แพทย์เชิงรุกครอบคลุมภาวะเจ็บป่วย 42 กลุ่มโรค
บริการครอบคลุมการรักษา 42 กลุ่มโรค ได้แก่
1.ข้อเสื่อมหลายข้อ
2.ตาแดงจากไวรัส
3.ตาแดงจากไวรัส ที่มิได้มีรหัสระบุรายละเอียด
4.ข้อเสื่อมโดยทั่วไปปฐมภูมิ
5.เนื้อเยื่ออักเสบ
6.วิงเวียน มึน
7.ปวดศีรษะ
8.อาหารเป็นพิษจากเชื้อแบคทีเรียอื่น
9.อาการท้องร่วง
10.กระเพาะและลำไส้อักเสบจากการติดเชื้อ
11.ไข้ไม่ทราบสาเหตุ
12.ความผิดปกติของระบบการทรงตัวของหู
13.โรคตากุ้งยิงและตุ่มอักเสบเรื้อรังที่หนังตา
14.การอักเสบของเยื่อบุตา
15.การติดเชื้อไวรัส ที่มิได้ระบุรายละเอียด
16.กล้ามเนื้อเคล็ด
17.ติดเชื้อไวรัสไม่ระบุตำแหน่งที่เป็น
18.ข้ออักเสบข้อเดียว ที่มิได้มีระบุรายละเอียด
19.เยื่อบุจมูกและลำคออักเสบเฉียบพลัน (หวัดธรรมดา)
20.ไข้ ไม่ระบุชนิด
21.เวียนศีรษะบ้านหมุนเฉียบพลัน แบบไม่รุนแรง
22.ปวดท้องช่วงบน
23.การติดเชื้อทางเดินหายใจในส่วนบนแบบเฉียบพลันหลายแห่งพร้อมกัน
24.ลมพิษ
25.ปวดท้อง และปวดอุ้งเชิงกราน
26.เยื่อบุตาอักเสบเฉียบพลัน ที่มิได้ระบุรายละเอียด
27.ลมพิษ ที่มิได้ระบุรายละเอียด
28.ปวดหลังส่วนล่าง
29.คออักเสบเฉียบพลัน
30.ต่อมทอนซิลอักเสบเฉียบพลัน
31.คออักเสบเฉียบพลัน ที่มิได้ระบุรายละเอียด
32.การติดเชื้อทางเดินหายใจในส่วนบนแบบเฉียบพลัน
33.กระเพาะอาหารอักเสบ ที่มิได้ระบุรายละเอียด
34.อาการปวดท้องอื่น ๆ และอาการปวดท้องที่ไม่ระบุ
35.ข้ออักเสบหลายข้อ ที่มิได้ระบุรายละเอียด
36.ต่อมทอนซิลอักเสบเฉียบพลัน ที่มิได้ระบุรายละเอียด
37.เยื่อจมูกอักเสบจากการแพ้ ที่มิได้ระบุรายละเอียด ปวดกล้ามเนื้อ
38.เยื่อจมูกอักเสบจากการแพ้หรือการเปลี่ยนอากาศ
39.ข้ออักเสบแบบอื่น
40.ไซนัสอักเสบเฉียบพลัน
41.ไซนัสอักเสบเฉียบพลัน ที่มิได้ระบุรายละเอียด และ
42.การติดเชื้อโควิด-19 กลุ่มสีเขียว ที่มีอาการเจ็บป่วยเล็กน้อย
สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่
1. สายด่วน สปสช. 1330
2. ช่องทางออนไลน์
• ไลน์ สปสช. พิมพ์ไลน์ไอดี @nhso หรือคลิก https://lin.ee/zzn3pU6
• Facebook : สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ https://www.facebook.com/NHSO.Thailand
โครงการ 30 บาทรักษาทุกที่
สำหรับโครงการ 30 บาทรักษาทุกที่เพื่อยกระดับบริการสุขภาพภายใต้หลักประกันสุขภาพแห่งชาติ มุ่งให้ประชาชนได้รับบริการที่ดี มีคุณภาพและมาตรฐานที่ดียิ่งขึ้น นับตั้งแต่รัฐบาล โดยกระทรวงสาธารณสุข ประกาศคิกออฟ “30 บาทรักษาทุกที่” เมื่อวันที่ 7 มกราคม 2567 ที่ผ่านมา แบ่งเป็น 4 ระยะ คือ
ระยะที่ 1 วันที่ 7 มกราคม 2567 ได้แก่ แพร่ เพชรบุรี ร้อยเอ็ด และนราธิวาส
ระยะที่ 2 วันที่ 1 มีนาคม 2567 ขยายอีก 8 จังหวัด ได้แก่ เพชรบูรณ์ นครสวรรค์ สิงห์บุรี สระแก้ว นครราชสีมา อำนาจเจริญ หนองบัวลำภู และพังงา
ระยะที่ 3 เดือนพฤษภาคม 2567 ขยายในพื้นที่ 34 จังหวัด (รวม กรุงเทหมหานคร) และใน 6 เขตสุขภาพ ได้แก่
เขตสุขภาพที่ 1 เชียงใหม่ เชียงราย น่าน พะเยา ลำปาง ลำพูน แม่ฮ่องสอน
เขตสุขภาพที่ 3 กำแพงเพชร พิจิตร ชัยนาท อุทัยธานี
เขตสุขภาพที่ 4 สระบุรี นนทบุรี ลพบุรี อ่างทอง นครนายก พระนครศรีอยุธยา ปทุมธานี
เขตสุขภาพที่ 8 อุดรธานี สกลนคร นครพนม เลย หนองคาย บึงกาฬ
เขตสุขภาพที่ 9 ชัยภูมิ บุรีรัมย์ สุรินทร์
เขตสุขภาพที่ 12 สงขลา สตูล ตรัง พัทลุง ปัตตานี ยะลา
ระยะที่ 4 จะขยายครอบคลุม 77 จังหวัดทั่วประเทศภายในปี 2567