นายกฯ ติดตามการทำงานคลี่คลายสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา ของกองกำลังสุรนารี ที่ จ.สุรินทร์
บทสรุป
นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ลงพื้นที่จังหวัดสุรินทร์ เพื่อติดตามสถานการณ์ชายแดน
ไทย-กัมพูชา การคลี่คลายปัญหาของเจ้าหน้าที่ฝ่ายปฏิบัติหน้างาน ทั้งทหาร ผู้ว่าราชการจังหวัดทั้ง 7 จังหวัดชายแดน ซึ่งขณะนี้สถานการณ์คลี่คลายขึ้นมาก โดยนายกรัฐมนตรีได้เน้นย้ำให้ทุกหน่วยดูแลประชาชน และเตรียมพร้อมเรื่องที่หลบภัยให้เพียงพอและปลอดภัย รัฐบาลพร้อมสนับสนุนทุกหน่วยงานอย่างเต็มที่ นายกรัฐมนตรี ได้มอบให้แม่ทัพภาคที่ 2 หารือกับกัมพูชาเรื่องเวลาเปิด-ปิดด่านที่ไม่ตรงกัน เพื่ออำนวยความสะดวกในการค้าขายผ่านชายแดน นอกจากนี้ยังได้ตรวจเยี่ยมสถานที่หลบภัยที่ชาวบ้านช่วยกันสร้างขึ้นที่หมู่บ้านสกล อำเภอกาบเชิง จังหวัดสุรินทร์ ขณะที่นายมาริษ เสงี่ยมพงษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ แถลงว่า
ได้เน้นย้ำไปยังประธาน JBC ว่าในการประชุม JBC ที่จะมีขึ้นในวันที่ 14 มิถุนายนนี้ที่กัมพูชา ไทยต้องยึดมั่นอธิปไตยประเทศ และจะไม่ยอมเสียดินแดนแม้แต่ตารางนิ้ว
รายละเอียด
(11 มิ.ย. 68) นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมติดตามสถานการณ์
การคลี่คลายปัญหาชายแดนไทย-กัมพูชา และมาตรการสนับสนุนและช่วยเหลือประชาชนในพื้นที่ 7 จังหวัดชายแดน ณ โรงพยาบาลกาบเชิง อ.กาบเชิง จ.สุรินทร์ โดยมี นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย พลเอก ณัฐพล นาคพาณิชย์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหม พร้อมด้วยผู้ว่าราชการจังหวัดสุรินทร์ ผู้ว่าราชการจังหวัดอุบลราชธานี ผู้ว่าราชการจังหวัดศรีสะเกษ ผู้ว่าราชการจังหวัดบุรีรัมย์ ผู้ว่าราชการจังหวัดสระแก้ว พลโท บุญสิน พาดกลาง แม่ทัพภาคที่ 2 และผู้บริหารส่วนราชการในพื้นที่เข้าร่วมประชุม
ภายหลังรับฟังบรรยายสรุปสถานการณ์ในพื้นที่ พบว่าขณะนี้สถานการณ์คลี่คลายขึ้นมาก รัฐบาลได้สั่งการให้สนับสนุนและช่วยเหลือประชาชนในพื้นที่ 7 จังหวัดชายแดนโดยให้ผู้ว่าราชการจังหวัด แม่ทัพภาคที่ 2 และผู้แทนหน่วยงานต่าง ๆ ดูแลประชาชนอย่างต่อเนื่อง โดยนายกรัฐมนตรี ขอบคุณผู้ว่าราชการจังหวัดชายแดน ทุกจังหวัดและแม่ทัพภาคที่ 2 ที่ได้รายงานความคืบหน้า และสถานการณ์ในพื้นที่ที่เกิดขึ้น ซึ่งจากการรับฟังข้อมูลเรื่องสถานที่หลบภัย ขอให้กระทรวงมหาดไทยเร่งสำรวจให้มีความพร้อม รวมถึงต้องให้ความรู้แก่เด็กนักเรียนถึงวิธีการเอาตัวรอดเพราะอาจจะมีภัยอื่น ๆ เช่น ภัยธรรมชาติ หรืออุบัติภัยต่าง ๆ ได้
ขณะที่พลโท บุญสิน พาดกลาง แม่ทัพภาคที่ 2 ได้รายงานการเตรียมความพร้อมในทุกมิติทั้งการดูแลประชาชนในพื้นที่และด้านความมั่นคง ซึ่งจากการหารือร่วมกันอย่างเป็นทางการทั้งไทยและกัมพูชาเห็นร่วมกันเรื่องสันติภาพ โดยเฉพาะประเทศไทยไม่ต้องการความรุนแรงโดยจะคำนึงถึงความปลอดภัยในชีวิต และทรัพย์สินของประชาชน และความปลอดภัยของเจ้าหน้าที่ที่ปฏิบัติงานหน้างานเป็นหลัก
นายกรัฐมนตรี กล่าวอีกว่า กระทรวงมหาดไทยเทียบ “เป็นบ้าน ทหารเป็นรั้ว” ขอให้ทำงานร่วมกันอย่างบูรณาการ และขอให้ผู้ว่าราชการจังหวัดเป็นหัวหน้าทีมในแต่ละจังหวัดทำงานร่วมกันประสานกันว่าเกิดเหตุการณ์อะไรขึ้นบ้างตามแนวชายแดน รวมถึงสำรวจความปลอดภัยในพื้นที่ไม่ว่าจะเป็นสถานที่หลบภัย รวมถึงปัจจัย 4
มีอย่างพอเพียงหรือไม่ ขอให้ช่วยเหลือซึ่งกันและกัน โดยเฉพาะสื่อสารกับประชาชนให้รับทราบข้อมูลที่เป็นข้อเท็จจริง เพื่อป้องกันการเข้าใจผิด
นายกรัฐมนตรี ยืนยันว่า รัฐบาลจะพยายามทำอย่างเต็มที่ให้ดีที่สุด ขอขอบคุณทุกคน ทุกหน่วยงานที่ร่วมกันรักษาความสงบสุข รัฐบาลพร้อมให้การดูแลประชาชนและเจ้าหน้าที่อย่างเต็มที่ หากมีอะไรที่มีความจำเป็นต้องการเร่งด่วน ขอให้ประสานมา รัฐบาลพร้อมสนับสนุนอย่างเต็มที่ และขอให้ผู้นำส่วนท้องถิ่นช่วยสื่อสาร
ทำความเข้าใจกับประชาชนมากขึ้นว่ารัฐบาล ฝ่ายความมั่นคง และเจ้าหน้าที่ได้ทำอะไรไปแล้วบ้าง เพื่อไม่ให้เกิดการเข้าใจผิด โดยเฉพาะเรื่องของการปล่อยเฟคนิวส์ ต้องป้องกันการเข้าใจผิด ขอให้ทุกคนทำงานร่วมกันเป็นทีมประเทศไทย รัฐบาลพร้อมสนับสนุนทุกหน่วย ยืนยันจุดยืนคือต้องการรักษาสันติภาพ ส่วนเรื่องรายละเอียดในการหารือข้อขัดแย้งต่าง ๆ ต้องแก้ไขไปทีละเรื่อง
นายกฯ สั่งการแม่ทัพภาค 2 สรุปเรื่องเวลาเปิด-ปิดด่าน หลังจากทั้ง 2 ประเทศกำหนดเวลาเปิด-ปิดไม่ตรงกัน ทำให้เสียโอกาสในการค้าขาย
หลังจากประชุมกับทุกส่วนราชการแล้ว นายกรัฐมนตรี ได้มอบให้แม่ทัพภาคที่ 2 หารือกับกัมพูชาเรื่องเวลาเปิด-ปิดด่านที่ไม่ตรงกัน เพื่ออำนวยความสะดวกในการค้าขายผ่านชายแดน จากนั้น ได้ออกเดินทางต่อไปที่ด่านพรมแดนศุลกากร จุดผ่านแดนถาวรช่องจอม อำเภอกาบเชิง จังหวัดสุรินทร์ ซึ่งอยู่ตรงข้ามกับประเทศกัมพูชา เพื่อให้กำลังใจเจ้าหน้าที่ที่ปฏิบัติงานหน้าด่าน พร้อมพูดคุยถึงสถานการณ์การค้าชายแดนและภาพรวมทั่วไป
โดยนายกรัฐมนตรี ได้ทักทายประชาชนที่มาให้การต้อนรับอย่างเป็นกันเอง และได้ถ่ายภาพกับประชาชนในพื้นที่ พร้อมกล่าวยืนยันว่า รัฐบาล ฝ่ายปกครอง ทั้งทหารและหน่วยงานด้านความมั่นคงจะคอยดูแลรักษาความปลอดภัยประชาชนทุกจังหวัดชายแดนตลอดเวลาอย่างเต็มที่
จากนั้น ได้เดินทางต่อไปยัง หมู่บ้านสกล หมู่ 8 ตำบลตะเคียน อำเภอกาบเชิง จังหวัดสุรินทร์ เพื่อตรวจเยี่ยมสถานที่หลบภัยที่ชาวบ้านช่วยกันทำขึ้น โดยได้รับการสนับสนุนจากส่วนราชการ ทั้งจากกองทัพและกระทรวงมหาดไทย ทั้งทรายและอุปกรณ์ต่าง ๆ โดยนายกรัฐมนตรี ได้สอบถามความเป็นอยู่ของชาวบ้าน และความปลอดภัยของบังเกอร์และสถานที่หลบภัยที่ชาวบ้านสร้างขึ้น นายกรัฐมนตรีได้สั่งการให้ผู้ว่าราชการจังหวัดดูแล สนับสนุนประชาชนอย่างเต็มที่ ทั้งด้านกำลังและวัสดุอุปกรณ์โดยขอให้คำนึงถึงความปลอดภัยของประชาชนเป็นหลัก ซึ่งชาวหมู่บ้านสกล ขอบคุณนายกรัฐมนตรีที่มาดูแลความปลอดภัยของประชาชนตามแนวชายแดน
สำหรับจังหวัดสุรินทร์ มีพื้นที่ชายแดนยาว 125 กิโลเมตร ครอบคลุม 4 อำเภอ ได้แก่ บัวเชด สังขะ กาบเชิง และพนมดงรัก มีจุดผ่านแดนถาวร 1 แห่ง คือ ช่องจอม และช่องทางธรรมชาติ 54 ช่อง โดยพื้นที่เสี่ยงที่อาจได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ความไม่สงบ ได้แก่ บริเวณปราสาทตาควาย ปราสาทตาเมือนธม และปราสาทตาเมือนโต๊ดจากการประเมิน หากเกิดเหตุสู้รบ อาจส่งผลกระทบต่อ 287 หมู่บ้าน ใน 22 ตำบล 4 อำเภอ มีประชาชนกว่า 144,000 คนอยู่ในพื้นที่เสี่ยง ปัจจุบันมีหลุมหลบภัย 224 แห่ง แต่บางส่วนชำรุดและไม่เพียงพอ รัฐบาลจึงเร่งซ่อมแซมและจัดสร้างเพิ่มเติม พร้อมขอความร่วมมือจากภาครัฐ เอกชน และประชาชนร่วมบริจาควัสดุจำเป็น เช่น ท่อกลม กระสอบทราย และปูน โดยสามารถนำส่งได้ที่ที่ว่าการอำเภอทั้ง 4 แห่ง หรือในหมู่บ้านเป้าหมาย
ด้านแผนอพยพ จังหวัดสุรินทร์ได้เตรียมศูนย์พักพิงชั่วคราว 65 แห่ง ในโรงเรียน วัด เทศบาล และ อบต. สำหรับรองรับประชาชน โดยเฉพาะกลุ่มเปราะบาง เช่น ผู้ป่วยติดเตียง ซึ่งมีจำนวนรวม 746 ราย ใน 4 อำเภอ พร้อมเตรียมย้ายโรงพยาบาลพนมดงรัก และโรงพยาบาลกาบเชิง เป็นโรงพยาบาลสนามหากเกิดเหตุฉุกเฉิน
ในส่วนของงบประมาณ สามารถใช้งบองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) และเงินทดรองราชการช่วยเหลือได้ทันที แบ่งเป็นงบเชิงป้องกัน 10 ล้านบาท และกรณีเกิดสถานการณ์ฉุกเฉิน 20 ล้านบาท สำหรับใช้ในด้านอาหาร วัสดุอุปกรณ์ ค่าเจ้าหน้าที่ และค่าดำเนินการอื่น หากไม่เพียงพอจะของบสนับสนุนเพิ่มเติมจากส่วนกลางต่อไป
“มาริษ” มอบนโยบาย ประธาน JBC เจรจากัมพูชา 14 มิ.ย. นี้ ย้ำยึดมั่นอธิปไตยประเทศ ไม่ยอมเสียดินแดนแม้แต่ตารางนิ้ว
(11 มิ.ย. 68) นายมาริษ เสงี่ยมพงษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ แถลงผลการประชุมคณะกรรมาธิการชายแดนร่วมไทย-กัมพูชา (JBC: Joint Boundary Commission) ฝ่ายไทย โดยระบุว่า ได้มอบนโยบายแก่ นายประศาสน์ ประศาสน์วินิจฉัย ประธาน JBC และอดีตเอกอัครราชทูตไทย ประจำกรุงพนมเปญ ก่อนมีการเจรจากับฝ่ายกัมพูชาในวันที่ 14 มิถุนายนนี้ โดยได้ย้ำว่าการเจรจาต้องยึดมั่นในอธิปไตยของประเทศไทย และจะไม่ยอมให้ไทยสูญเสียดินแดนแม้แต่ตารางนิ้ว พร้อมขอบคุณฝ่ายทหารที่สามารถลดระดับการเผชิญหน้าบริเวณชายแดนลงได้ และเสนอให้ใช้พื้นที่พิพาทเป็น “เขตร่วมอยู่ร่วมกันโดยสันติ” เพื่อลดความตึงเครียดอย่างยั่งยืน
สำหรับกลไกในการเจรจา 2 ฝ่ายทั้ง 3 กลไก ได้แก่ คณะกรรมาธิการเขตแดนร่วม (JBC) คณะกรรมการชายแดนทั่วไป (GBC) และ คณะกรรมการชายแดนส่วนภูมิภาค (RBC) เป็นกลไกที่มีประสิทธิภาพมากที่สุด และอยากให้ทั้งหมดนี้ต่อยอดขยายผลจากที่ทางฝ่ายทหารได้ทำไปแล้ว และอยากให้เป็นพื้นที่ที่อยู่ร่วมกันอย่างสันติสุข
เป็นสิ่งที่นายกรัฐมนตรีทั้งสองประเทศได้ย้ำมาตลอด
การประชุม JBC ในวันที่ 14 มิ.ย. 68 นี้ คาดหวังให้มีความชัดเจนมากยิ่งขึ้นในเรื่องของเส้นเขตแดนเพื่อให้ทั้งสองฝ่ายได้มีความเข้าใจที่ชัดเจนร่วมกัน และนำไปสู่การแก้ไขปัญหาในเรื่องเขตแดน และทำให้ทุกสิ่งทุกอย่างชัดเจนมากยิ่งขึ้นว่าเส้นเขตแดนอยู่ตรงไหน ทั้งนี้ขอให้ประธาน JBC ยึดถือไว้ว่าการเจรจาต้องยืนยันในอธิปไตยของประเทศไทย และจะไม่ยอมให้ประเทศไทยเสียดินแดน แม้แต่นิดเดียวโดยเด็ดขาด พร้อมยืนยันว่าประเทศไทยเห็นว่ากลไกการเจรจา หรือกลไกการแก้ไขปัญหาระหว่างกันภายใต้การปฏิบัติขององค์การสหประชาชาติ และกฎหมายระหว่างประเทศนั้นมีกลไกการแก้ไขปัญหาในหลายวิธี แต่วิธีที่มีประสิทธิภาพมากที่สุดคือกลไกทวิภาคี
ซึ่งมีประสิทธิภาพ และเหมาะสมที่สุด ดังนั้นไทยจึงไม่ยอมรับอำนาจศาลโลกมาตั้งแต่ปี 2503 จนถึงปัจจุบัน
ขณะเดียวกันกลไกทางการทูตที่กระทรวงการต่างประเทศใช้ก็ส่งเสริมหรือช่วยเหลือให้การเจรจาของ ฝ่ายทหารบรรลุผลได้เป็นอย่างดี ดังนั้นที่ผ่านมาได้ใช้กลไกที่ถูกต้องคือการหารือทวิภาคีในการแก้ไขปัญหาจนกระทั่งสามารถลดความตึงเครียดในบริเวณพื้นที่ที่มีการกระทบกระทั่งกันจนเป็นการลดการเผชิญหน้ากันได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้บริเวณที่มีพื้นที่ไม่ชัดเจนเป็นพื้นที่ที่สามารถอยู่ร่วมกันได้อย่างสันติ และไม่ก่อให้เกิดปัญหากระทบกระทั่งกันอีก
ขอให้ประชาชนมั่นใจว่ากองทัพไทยมีศักยภาพที่จะบริหารสถานการณ์ในพื้นที่ที่มีการกระทบกระทั่งกันได้อย่างดีที่สุด ขณะเดียวกันการใช้นโยบายการต่างประเทศหรือนโยบายการทูตจะมุ่งเน้นไปในเรื่องของการส่งเสริมให้มีมาตรการทั้ง 2 ด้าน ทั้งด้านการปฏิบัติทางด้านการทหาร และมาตรการทางการทูตสอดรับกัน สามารถที่จะทำให้เกิดประสิทธิภาพในการแก้ไขปัญหาระหว่างประเทศและทำให้การใช้กลไกในการแก้ไขปัญหาแบบทวิภาคี
นายมาริษ กล่าวถึงท่าทีของกัมพูชาที่อาจส่งกรณีข้อพิพาท 4 จุดไปยังศาลโลกว่า ไทยยังคงยึดแนวทางการเจรจาโดยตรงระหว่างสองประเทศ ซึ่งไทยได้ชี้แจงจุดยืนและข้อเท็จจริงให้ประเทศต่าง ๆ รวมถึงชาติสมาชิกอาเซียนรับทราบอย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้ แม้กัมพูชาจะเดินหน้าพูดคุยกับประเทศที่ 3 แล้ว แต่ประเทศไทย โดยกระทรวงการต่างประเทศได้มีปฏิสัมพันธ์กับประเทศต่าง ๆ มาโดยตลอด โดยเฉพาะในการชี้แจงจุดยืนและอธิบายให้เห็นถึงข้อเท็จจริงไม่ว่าจะเป็นประเทศสมาชิกอาเซียน มิตรประเทศต่าง ๆ รับรู้การดำเนินงานของไทยอย่างชัดเจน
สำหรับผลการประชุม JBC ระหว่างไทย-กัมพูชา ในวันเสาร์ที่ 14 มิ.ย. 68 จะมอบหมายให้โฆษกประจำกระทรวงการต่างประเทศหรือโฆษกของกรรมาธิการ JBC เป็นผู้แถลงผล
แนวทางการสื่อสาร
1. นำเสนอการลงพื้นที่ติดตามการคลี่คลายปัญหาพื้นที่ชายแดนไทย-กัมพูชา ของนายกรัฐมนตรี ที่จังหวัดสุรินทร์ ซึ่งนายกรัฐมนตรีได้ย้ำกับเจ้าหน้าที่ที่ต้องปฏิบัติงานให้ดูแลความปลอดภัยของประชาชน และรัฐบาลพร้อมสนับสนุนทุกหน่วยงานอย่างเต็มที่
2. นำเสนอข้อสั่งการนายกรัฐมนตรี ให้แม่ทัพภาคที่ 2 เจรจากับกัมพูชา เรื่องเวลาเปิด-ปิดด่านชายแดน ที่ขณะนี้ยังไม่ตรงกัน เพื่อแก้ปัญหาเรื่องการค้าขายแก่ประชาชนในพื้นที่
3. นำเสนอรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ย้ำกับประธาน JBC ว่าในการประชุม JBC ที่กัมพูชา ในวันที่ 14 มิ.ย. นี้ ไทยเน้นย้ำเรื่องอธิปไตยของประเทศ และต้องไม่เสียดินแดนแม้ตารางนิ้ว
แฮชแท็กเพื่อการสื่อสาร
#นายกฯติดตามการทำงานคลี่คลายสถานการณ์ชายแดนไทยกัมพูชาของกองกำลังสุรนารีที่สุรินทร์ #ชายแดนไทยกัมพูชา #เจรจาJBC #กระทรวงกลาโหม #กระทรวงมหาดไทย #กระทรวงการต่างประเทศ #นโยบายรัฐบาล20กระทรวง