ก้าวสู่ Net Zero ในปี 2050: โอกาสและความท้าทายของธุรกิจไทยหลัง COP28

วาระแห่งความยั่งยืนที่ไม่มีวันย้อนกลับ

การประชุมรัฐภาคีกรอบอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (COP) โดยเฉพาะการประชุมล่าสุด ได้เน้นย้ำถึงความจำเป็นเร่งด่วนที่ทั่วโลกต้องจำกัดการเพิ่มขึ้นของอุณหภูมิโลกไม่ให้เกิน 1.5°C เหนือระดับก่อนยุคอุตสาหกรรม ประเทศไทยในฐานะภาคี ได้กำหนดเป้าหมายที่ทะเยอทะยานคือการบรรลุความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality) ภายในปี 2050 และการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero) ภายในปี 2065 

การเปลี่ยนผ่านนี้ไม่ใช่แค่ภาระด้านสิ่งแวดล้อม แต่เป็น วาระทางเศรษฐกิจ ที่จะกำหนดทิศทางการค้า การลงทุน และความสามารถในการแข่งขันของธุรกิจไทยในเวทีโลก ธุรกิจที่ปรับตัวได้เร็วจะคว้าโอกาส ในขณะที่ธุรกิจที่ละเลยอาจเผชิญกับอุปสรรคที่ไม่เคยมีมาก่อน

เพิ่มเติม: 1.5°C ในบริบทของการประชุมรัฐภาคีกรอบอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (COP) คือ เป้าหมายสูงสุดในการควบคุมอุณหภูมิโลก เพื่อหลีกเลี่ยงผลกระทบร้ายแรงที่สุดจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ

 


🌡️ ความหมายของ1.5°C

1.5°C คือ ขีดจำกัดการเพิ่มขึ้นของอุณหภูมิเฉลี่ยผิวโลก ที่นานาชาติตกลงร่วมกันว่าจะต้องควบคุมไว้ไม่ให้เกิน เมื่อเทียบกับ ระดับอุณหภูมิก่อนยุคอุตสาหกรรม (Pre-industrial levels)
  • 🏭 ระดับอุณหภูมิก่อนยุคอุตสาหกรร
    • หมายถึง อุณหภูมิเฉลี่ยของโลกในช่วงประมาณปี ค.ศ. 1850 - 1900 ซึ่งเป็นช่วงก่อนที่กิจกรรมของมนุษย์ เช่น การเผาเชื้อเพลิงฟอสซิลในปริมาณมากจะเริ่มส่งผลกระทบต่อสภาพภูมิอากาศอย่างชัดเจน
    • การเพิ่มขึ้นของอุณหภูมิที่ เกินกว่า1.5°C จากระดับนี้ ถูกพิจารณาโดยนักวิทยาศาสตร์ว่าอาจนำไปสู่ผลกระทบที่แก้ไขไม่ได้ (irreversible) และรุนแรงมากยิ่งขึ้นต่อระบบนิเวศ สภาพอากาศ และมนุษย์
       
  • 🎯 ความสำคัญภายใต้ความตกลงปารีส (Paris Agreement) ข้อตกลงปารีส (ปี 2015) ซึ่งเป็นกรอบการทำงานหลักของ COP ได้กำหนดเป้าหมายไว้ดังนี้:
    • เป้าหมายหลัก (Well Below): จำกัดการเพิ่มขึ้นของอุณหภูมิเฉลี่ยผิวโลกไว้ที่ ต่ำกว่า 2.0°C$ เหนือระดับก่อนยุคอุตสาหกรรมให้มากที่สุด
    • เป้าหมายสูงสุด (Aspiration): มุ่งมั่นที่จะจำกัดการเพิ่มขึ้นของอุณหภูมิโลกไว้ที่1.5°C

การประชุม COP ครั้งหลัง ๆ เน้นย้ำว่า1.5°C คือขีดจำกัดที่ปลอดภัยกว่า และจำเป็นต้องบรรลุเป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero) ให้เร็วที่สุด เพื่อคงโอกาสในการรักษาอุณหภูมิโลกไว้ที่ขีดจำกัดนี้

 


📈 ผลกระทบหากเกิน1.5°C

รายงานของคณะกรรมการระหว่างรัฐบาลว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (IPCC) ระบุว่า ผลกระทบระหว่างการเพิ่มขึ้น1.5°C กับ 2.0°C มีความแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญ 
ผลกระทบ หากอุณหภูมิเพิ่มขึ้น 1.5∘C หากอุณหภูมิเพิ่มขึ้น 2.0∘C
แนวปะการัง สูญเสีย 70% ถึง 90% สูญเสีย 99% เกือบทั้งหมด
คลื่นความร้อน จะเกิดบ่อยขึ้น แต่มีความรุนแรงน้อยกว่า จะเกิดบ่อยขึ้นและรุนแรงมากเป็นพิเศษ
ระดับน้ำทะเล เพิ่มสูงขึ้นแต่มีโอกาสชะลอตัวได้มากกว่า อัตราการเพิ่มสูงขึ้นเร็วขึ้นและมีโอกาสที่จะสูญเสียแผ่นน้ำแข็งถาวรมากขึ้น

การที่ประเทศไทยต้องมุ่งสู่ Carbon Neutrality ภายในปี 2050 และ Net Zero ภายในปี 2065 ก็เป็นส่วนหนึ่งของการผลักดันให้โลกสามารถรักษาขีดจำกัด1.5°C นี้ไว้ได้

 


1. ความท้าทายที่สำคัญ: กลไกคาร์บอนข้ามพรมแดน (CBAM)

ความท้าทายที่สำคัญที่สุดที่ธุรกิจไทยเผชิญหน้าหลังการประชุม COP คือการบังคับใช้กลไกทางเศรษฐกิจที่เข้มงวดมากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่ง กลไกการปรับคาร์บอนก่อนเข้าพรมแดน (Carbon Border Adjustment Mechanism - CBAM) ของสหภาพยุโรป
  • CBAM คืออะไร?
    • CBAM คือมาตรการที่กำหนดให้ผู้นำเข้าสินค้าบางประเภทเข้าสู่สหภาพยุโรปต้องซื้อใบรับรอง CBAM เพื่อจ่าย "ค่าคาร์บอน" ที่ฝังอยู่ในสินค้านั้น ๆ (Embodied Emissions) โดยมีเป้าหมายเพื่อป้องกันการย้ายฐานการผลิตไปยังประเทศที่มีกฎระเบียบด้านสิ่งแวดล้อมหย่อนยานกว่า (Carbon Leakage)
  • ผลกระทบต่ออุตสาหกรรมไทย
    • ในระยะแรก CBAM จะเน้นที่อุตสาหกรรมที่มีการปล่อยคาร์บอนเข้มข้นสูง ได้แก่ เหล็กและอะลูมิเนียม, ปูนซีเมนต์, ปุ๋ย, ไฟฟ้า, และไฮโดรเจน อุตสาหกรรมไทยที่ส่งออกสินค้าเหล่านี้ไปยัง EU จะต้อง:
      • วัดและรายงานคาร์บอนฟุตพริ้นท์ (Carbon Footprint) ของผลิตภัณฑ์อย่างแม่นยำและโปร่งใส
      • เผชิญต้นทุนที่เพิ่มขึ้น หากกระบวนการผลิตยังคงปล่อยคาร์บอนในระดับสูง

อ้างอิง: คณะกรรมาธิการยุโรป (European Commission) ได้ระบุขอบเขตและระยะเวลาการบังคับใช้ CBAM อย่างชัดเจน ซึ่งเริ่มระยะเปลี่ยนผ่านในปี 2023


 

2. โอกาสทองของธุรกิจไทย: พลังงานสะอาดและการลงทุนสีเขียว

การมุ่งสู่ Net Zero เปิดโอกาสมหาศาลสำหรับธุรกิจที่เน้นการลงทุนที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม (Green Investment)
  •  การเปลี่ยนผ่านด้านพลังงาน (Energy Transition)
    • หัวใจของการบรรลุ Net Zero คือการเปลี่ยนจากการใช้เชื้อเพลิงฟอสซิลเป็น พลังงานสะอาด ประเทศไทยมีเป้าหมายเพิ่มสัดส่วนการใช้พลังงานหมุนเวียน (Renewable Energy) อย่างมีนัยสำคัญ ส่งผลให้เกิดโอกาสใน:
      • Solar Rooftop และ Floating Solar: การลงทุนในระบบผลิตไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ทั้งบนหลังคาโรงงานและบนผิวน้ำ เพื่อลดต้นทุนพลังงานและลดการปล่อยคาร์บอนโดยตรง
      • Green Hydrogen: แม้ยังอยู่ในช่วงเริ่มต้น แต่ไฮโดรเจนสีเขียวที่ผลิตจากพลังงานหมุนเวียนจะเป็นกุญแจสำคัญในการลดคาร์บอนในอุตสาหกรรมหนักและการขนส่ง
        ยานยนต์ไฟฟ้า (EVs): การเร่งส่งเสริมการผลิตและการใช้ยานยนต์ไฟฟ้า ไม่เพียงแต่ลดมลพิษในเมือง แต่ยังสร้างห่วงโซ่อุปทานใหม่สำหรับแบตเตอรี่และชิ้นส่วน EV ในประเทศ
  • การเงินสีเขียว (Green Finance)
    • สถาบันการเงินทั่วโลกและในไทยกำลังหันมาให้ความสำคัญกับการให้สินเชื่อสีเขียว (Green Loans) และการออกตราสารหนี้เพื่อความยั่งยืน (Green Bonds/Sustainability-Linked Bonds) แก่โครงการที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม
      • เข้าถึงแหล่งเงินทุนที่ถูกลง: ธุรกิจที่มีแผนการลดคาร์บอนที่ชัดเจนและมีตัวชี้วัดด้าน ESG (Environmental, Social, Governance) ที่ดี จะสามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุนเหล่านี้ได้ง่ายขึ้นและอาจมีต้นทุนทางการเงินที่ต่ำกว่า
      • การรายงาน ESG: การเปิดเผยข้อมูลด้านความยั่งยืนอย่างโปร่งใสตามมาตรฐานสากลกลายเป็นสิ่งจำเป็น ไม่ใช่แค่เพื่อให้สอดคล้องกับกฎหมาย แต่เพื่อดึงดูดนักลงทุนสถาบัน

 

3. กลยุทธ์การปรับตัวของภาคธุรกิจ

เพื่อให้รอดพ้นจากความท้าทายและคว้าโอกาสในการเปลี่ยนผ่านนี้ ธุรกิจไทยควรใช้กลยุทธ์ที่บูรณาการ BCG Model (Bio–Circular–Green Economy) เข้ากับการดำเนินงาน:
กลยุทธ์ แนวทางการปฏิบัติ
การวัดและการตรวจสอบ * กำหนดขอบเขตและวัดปริมาณก๊าซเรือนกระจกที่ปล่อยออกมา (Scope 1, 2, 3) ตามมาตรฐานสากล * จัดทำข้อมูลคาร์บอนฟุตพริ้นท์ของผลิตภัณฑ์ (Product Carbon Footprint)
การลดการปล่อยคาร์บอน * ติดตั้งระบบพลังงานหมุนเวียนในโรงงาน * ปรับปรุงประสิทธิภาพการใช้พลังงาน (Energy Efficiency) * เปลี่ยนไปใช้เชื้อเพลิงทางเลือกที่มีการปล่อยคาร์บอนต่ำ
ห่วงโซ่อุปทานที่ยืดหยุ่น * ทำงานร่วมกับซัพพลายเออร์เพื่อลดการปล่อยคาร์บอนในห่วงโซ่อุปทาน (Scope 3) * นำหลักการเศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy) มาใช้เพื่อลดของเสียและการใช้ทรัพยากร
การสร้างนวัตกรรมสีเขียว * ลงทุนในการวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์และบริการที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมเพื่อสร้างความแตกต่างในตลาด

 

🎯 สรุปและข้อเสนอแนะ

              เป้าหมาย Net Zero ปี 2050 ของประเทศไทยเป็นตัวเร่งให้เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในระบบเศรษฐกิจ การประชุม COP28 ได้ตอกย้ำว่าโลกจะไม่รอ ธุรกิจไทยที่ยังคงดำเนินงานในรูปแบบเดิมจะเผชิญกับอุปสรรคทางการค้าที่เพิ่มขึ้นจากมาตรการคาร์บอนข้ามพรมแดน

              โอกาส อยู่ที่การลงทุนในเทคโนโลยีพลังงานสะอาด, การเข้าถึงตลาดการเงินสีเขียว, และการสร้างความได้เปรียบในการแข่งขันผ่านนวัตกรรมที่ยั่งยืน

             ข้อเสนอแนะหลัก สำหรับผู้ประกอบการคือ: อย่ารอให้กฎหมายบังคับ เริ่มต้นจากการ วัดและรายงาน (Measurement & Reporting) คาร์บอนฟุตพริ้นท์ในองค์กรและผลิตภัณฑ์ของคุณตั้งแต่วันนี้ นี่คือก้าวแรกที่สำคัญที่สุดในการเข้าสู่โลกการค้าที่ถูกขับเคลื่อนด้วยคาร์บอนเป็นศูนย์

“มั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน ก้าวทันโลก พร้อมทุกภาคส่วนเติบโตไปด้วยกัน”

 


📚 แหล่งอ้างอิงที่แนะนำ

[1] European Commission. (n.d.). Carbon Border Adjustment Mechanism (CBAM). สืบค้นเมื่อ 9 ธันวาคม 2568. จาก เว็บไซต์ทางการของคณะกรรมาธิการยุโรป (อ้างอิงถึงข้อมูลอย่างเป็นทางการของ EU เกี่ยวกับกลไก CBAM และระยะเวลาการดำเนินการ)

[2] สำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.). (2565). แผนพลังงานชาติ (National Energy Plan) และเป้าหมายการเปลี่ยนผ่านพลังงาน. สืบค้นเมื่อ 9 ธันวาคม 2568. จาก เว็บไซต์ทางการของ สนพ. (อ้างอิงถึงเป้าหมายการใช้พลังงานหมุนเวียนและแนวทางการพัฒนาพลังงานของประเทศไทยในการบรรลุ Net Zero)

[3] ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.). (n.d.). แนวนโยบายด้านการเงินเพื่อความยั่งยืน (Green Finance/Sustainable Finance). สืบค้นเมื่อ 9 ธันวาคม 2568. จาก เว็บไซต์ทางการของ ธปท. (อ้างอิงถึงบทบาทของ ธปท. ในการสนับสนุนการเงินเพื่อความยั่งยืน และการวางกรอบการดำเนินงานของสถาบันการเงินไทย)

[4] องค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (องค์การมหาชน) – อบก. (TGO). (n.d.). ข้อมูลปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของประเทศและกลไกคาร์บอนเครดิต. สืบค้นเมื่อ 9 ธันวาคม 2568. จาก เว็บไซต์ทางการของ TGO (ข้อมูลเกี่ยวกับกลไกสำคัญของไทยในการบริหารจัดการคาร์บอน)


Line

คะแนนโหวต :
StarStarStarStarStar