
ถ้าพูดถึงเอกลักษณ์ความเป็นไทยอย่างหนึ่ง "ผ้าขาวม้า" ก็คือความภาคภูมิใจที่อยู่คู่ประเทศไทยมานานหลายยุคสมัย แต่ละท้องถิ่นในประเทศต้องมีไว้ใช้ จนกลายเป็นผ้าสามัญประจำบ้าน แต่รู้ไหมว่า ผ้าขาวม้า ได้ผ่านกาลเวลาวัฒนธรรมหลายยุคสมัย ผ่านความคิด จิตวิญญาณ กลายเป็นเอกลักษณ์แสดงความเป็นไทย เป็น SoftPower ของไทย ซึ่งอยู่ระหว่างการเสนอขึ้นทะเบียนเป็นมรดกทางวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้ของมนุษยชาติ (Intangible cultural heritage) ต่อองค์การยูเนสโก (UNESCO)
ผ้าขาวม้า ไม่ใช่คำไทยแท้ แต่เป็นภาษาเปอร์เซีย ที่มีคำเต็มว่า "กามาร์บันด์" (Kamar band) "กามาร์" หมายถึง เอว หรือ ท่อนล่างของร่างกาย "บันด์" แปลว่า พัน รัด หรือ คาด เมื่อนำทั้งสองคำมารวมกัน จึงหมายถึง เข็มขัด ผ้าพัน หรือ คาดสะเอว คำว่า "กามาร์บันด์" ยังปรากฎอยู่ในภาษาอื่นๆ อีก เช่น ภาษามลายู มีคำว่า "กามาร์บัน" (Kamarban) ภาษาฮินดี้มีคำว่า "กามาร์บันด์" (Kamar band) และ ในภาษาอังกฤษมีคำว่า "คัมเมอร์บันด์" (Commer band) หมายถึง ผ้ารัดเอว ในชุดทัคซิโด้ (Tuxedo) ซึ่งเป็นชุดสำหรับออกงานราตรีสโมสร
จากงานวิจัย เรื่อง "ผ้าขาวม้า" ของ อาภรณ์พันธ์ จันทร์สว่าง อธิบายไว้ว่า "ผ้าขาวม้า" เป็นคำที่เพี้ยนมาจากคำว่า "กามา" (Kamar) ซึ่งเป็นภาษาอิหร่านทีใช้กันอยู่ที่ประเทศสเปน เข้าใจว่าสเปนเอาคำว่า "กามา" ของภาษาแขกไปใช้ด้วย เพราะในประวัติศาสตร์ ประเทศทั้งสองมีการติดต่อกันมาช้านาน
จากรากฐานของข้อมูล แสดงให้เห็นว่าผ้าขาวม้าเป็นผ้าโบราณ ที่ใช้ประโยชน์กันมานานแล้ว คนไทยรู้จักใช้ผ้าขาวม้ามาตั้งแต่ สมัยพุทธศตวรรษที่ 16 ถ้านับเวลาย้อนไป จะตรงกับยุคสมัยเชียงแสน ในสมัยเชียงแสนผู้หญิงมักนุ่งผ้าถุง ส่วนผู้ชายเริ่มใช้ผ้าเคียนเอว (ผ้าขาวม้า) ซึ่งได้วัฒนธรรมมาจากไทยใหญ่ (ไทยใหญ่ใช้โพกศีรษะ) ส่วนไทยเรายังมุ่นมวยผมอยู่ เมื่อเห็นประโยชน์ของผ้าจึงนำมาใช้บ้าง แต่เปลี่ยนมาเป็นผ้าเคียนเอว เมื่อเดินทางไกลจึงนำมาใช้เพื่ออำนวยความสะดวก ซึ่งให้ประโยชน์มาก เช่น ใช้ห่ออาวุธ และเก็บสัมภาระในการเดินทาง ปูที่นอน นุ่งอาบน้ำ ใช้เช็ดร่างกาย เมื่อไทยใหญ่เห็นประโยชน์ของการใช้ผ้า จึงนำมาเคียนเอวตามอย่างบ้าง
"เคียน" เป็นคำไทย มีความหมายตามพจนานุกรม คือ พัน ผูก พาด โพก คาด คลุม เมื่อนำมารวมกับคำว่า "ผ้า" และส่วนใดส่วนหนึ่งของร่างกาย เช่น เอว จึงมีความหมายว่า เป็นผ้าสำหรับคาดเอว ซึ่งคนไทยโบราณจะรู้จัก "ผ้าเคียนเอว" มากกว่า "ผ้าขาวม้า" เนื่องจากใช้เรียกกันมาแต่โบราณ ส่วนคำว่า "ผ้าขาวม้า" มานิยมใช้เรียกกันในภายหลัง

หลักฐานที่แสดงว่าคนไทยเริ่มใช้ผ้าขาวม้าในสมัยเชียงแสน มีปรากฎให้เห็นจากภาพจิตรกรรมฝาผนังที่ วัดภูมินทร์ จ. น่าน และเมื่อดูการแต่งกายของ หญิง - ชาย ไทยในสมัยอยุธยา จากภาพเขียนในสมุดภาพ "ไตรภูมิสมัยอยุธยา" ราวต้นศตวรรษ ที่ 22 จะเห็นได้ว่าชาวอโยธยานิยมใช้ผ้าขาวม้าพาดบ่า คาดพุง หรือนุ่งโจงกระเบนแล้วใช้ผ้าขาวม้าคล้องคอตลบห้อยชายทั้งสองข้างไว้ด้านหลัง สมัยรัตนโกสินทร์ชาวไทยทั้งชาย - หญิงนิยมใช้ผ้าขาวม้ามาทำประโยชน์กันมากยิ่งขึ้น โดยไม่จำกัดแต่เพียงเพศชายอย่างเดียวเหมือนในอดีต และไม่จำกัดเฉพาะทำเป็นเครื่องตกแต่งร่างกายอย่างเดียว
"ผ้าขาวม้า" เป็นอาภรณ์อเนกประสงค์ มีลักษณะเป็นรูปทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้า ส่วนใหญ่ทอมาจากฝ้าย แต่บางครั้งอาจทอจากเส้นไหม ในบางท้องถิ่นนิยมทอจากเส้นด้ายดิบและเส้นป่าน นิยมทอสลับสีกันเป็นลายตาหมากรุกหรือเป็นลายทาง โดยมากผลิตในแถบภาคเหนือหรือภาคอีสาน มีขนาดความกว้าง - ยาวแตกต่างกันออกไป ส่วนใหญ่จะกว้างประมาณ 3 คืบ ยาว 5 คืบ อายุของการใช้งานจะประมาณ 1 - 3 ปี สำหรับราคาก็จะแตกต่างกันออกไปตามวัสดุที่ใช้ (ถ้าเป็นผ้าไหมเนื้อดีจะมีราคาแพง ซึ่งนิยมใช้แตะพาดบ่า หรือพาดไหล่)
ผ้าขาวม้า : อาภรณ์สารพัดประโยชน์
| 1. ใช้นุ่งอาบน้ำ |
2. ทำความสะอาดร่างกาย |
| 3. ใช้ซับเหงื่อ |
4. ใช้ซับเหงื่อ |
| 5. ปูรองนั่ง |
6. อุปกรณ์การเล่นของเด็ก |
| 7.โพกศีรษะกันแดด |
8. ผูกทำเปล |
| 9. ใช้นุ่งอยู่บ้านแทนกางเกง |
10. คาดเอว |
| 11. ห่ม - คลุม ร่างกาย |
12. ใช้ห่อของแทนย่าม |
| 13. นุ่งกระโจมอกแทนผ้าถุง |
14. ปัดฝุ่น - แมลง - ยุง |
| 15.ใช้มัดแทนเชือก |
16. ใช้ผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้า |
| 17. ม้วนหนุนแทนหมอน |
18. บังแดด - ฝน - ลม |
| 19. ทำความสะอาดสิ่งของ - เครื่องใช้ |
20. ทำผ้าอ้อมสำหรับเด็ก |
| 21. ทำผ้าขี้ริ้ว - พรมเช็ดเท้า ( เมื่อชำรุดแล้ว ) |
22. ใช้โบกแทนพัด |
| 23. ใช้แทนผ้าพันแผล |
24.ทำผ้ากันเปื้อน |
| 25. คลุมโต๊ะ |
26.อื่นๆ |
| |
|
| |
|
ผ้าขาวม้าชื่อดังแต่ละจังหวัด
- ผ้าขาวม้ากาญจนบุรี บ้านหนองขาว อำเภอท่าม่วง ออกแบบการทอให้ลวดลายสะดุดตายิ่งขึ้น ด้วยการเลือกใช้ไหมประดิษฐ์สีสดๆ สารพัดสี อนุรักษ์ลวดลายแบบโบราณ เช่น ลายตาจัก ซึ่งมีเฉพาะที่บ้านหนองขาว มีการทอเก็บยกลายตลอดทั้งผืน และทอได้เฉพาะผู้ที่มีความชำนาญเท่านั้น จึงเป็นที่รู้จักมากยิ่งขึ้นในนาม ‘ผ้าขาวม้าร้อยสี’นอกจากลายตาจักแล้ว ยังมีลายอื่นๆ ได้แก่ ลายหมากรุก ลายตาคู่ ลายตาเล็ก
- ผ้าขาวม้าพระนครศรีอยุธยา จุดเด่นคือลวดลายคละสลับกันเป็นตารางหมากรุกประมาณครึ่งนิ้ว และมีสองสีสลับด้าน ด้านตามยาวของปลายทั้งสองข้าง ทำเป็นลายริ้วสลับสีกัน เช่น ขาวแดง แดงดำ ขาวน้ำเงิน
- ผ้าขาวม้าชัยนาท เป็นผ้าทอด้วยไหมประดิษฐ์ โทเร และฝ้าย แต่ในปัจจุบันส่วนใหญ่จะนิยมทอด้วยโทเร ทอเป็นลายสก๊อต ลายทางหรือลายสี่เหลี่ยม ผ้าขาวม้าที่โดดเด่นคือของตำบลเนินขาม อำเภอหินตา มีชื่อว่า ‘ผ้าขาวม้า 5 สี’ คือ สีแดง เหลือง ส้ม เขียว ขาว ซึ่งจะทอแบบเดียวกับผ้ามัดหมี่ คือการมัดแล้วย้อมเป็นสีต่างๆ
- ผ้าขาวม้าลพบุรี อำเภอบ้านหมี่ จัดได้ว่าเป็นแหล่งทอผ้าพื้นเมืองที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย ลักษณะผ้าดั้งเดิมของอำเภอบ้านหมี่จะมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว เพราะชาวบ้านหมี่เป็นชาวไทยพวนที่อพยพมาจากประเทศลาว ผ้าขาวม้าของที่นี่จึงเป็นผ้าที่มีลวดลาย สีสันสวยงามและเป็นผ้าทอมือที่มีความประณีตมาก
- ผ้าขาวม้าราชบุรี ส่วนใหญ่จะทอ 2 ลวดลาย คือ ลายหมากรุกและลายตาปลา เป็นผ้าขาวม้าที่สวยงาม ราคาถูก สีไม่ตก รู้จักกันในชื่อ ‘ผ้าทอบ้านไร่’ และในปัจจุบันมีการพัฒนาเป็นผลิตภัณฑ์ที่ทันสมัยโดยคนรุ่นใหม่ ในชื่อ ‘Pakamian’ที่ภาคอีสาน จะเรียกผ้าขาวม้าว่า ผ้าแพร ผ้าแพรอีโป้ ผ้าขาวม้า ซึ่งในอีสานจะมีอยู่ 2 ลักษณะ คือ ผ้าแพรขาวม้า มีลักษณะเป็นสี่เหลี่ยมจัตุรัสคล้ายตาหมากรุกและผ้าแพรไส้ปลาไหลหรือผ้าแพรลิ้นแลนและในพจนานุกรมภาษาถิ่นอีสาน ก็จะเรียกว่าผ้าขัดด้าม ผ้าขาวด้ามหรือผ้าด้าม
- ผ้าขาวม้าศรีสะเกษ ได้รับอิทธิพลมาจากลาว จะมีการทอด้วยไหมและฝ้าย ผ้าขาวม้าที่ทอด้วยผ้าไหมจะทำในโอกาสพิเศษหรืองานพิธีสำคัญเท่านั้น จะทอเป็นลายเส้นขัดตารางหมากรุก
- ผ้าขาวม้าสุรินทร์ ปัจจุบันมีการทอมากที่กิ่งอำเภอเขวาสินรินทร์ บ้านเขวาสินรินทร์ ชาวสุรินทร์มักใช้ผ้าขาวม้าในการแต่งกายประจำจังหวัด ในพิธีกรรมที่สำคัญตั้งแต่เกิดจนกระทั่งตายจะมีผ้าขาวม้ามาเกี่ยวข้องเสมอ ลายผ้าขาวม้าของจังหวัดสุรินทร์เป็นผ้าลายตารางสีแดงดำ เขียวเข้ม และชาวสุรินทร์จะมีผ้าขาวม้าประจำตระกูล ผู้อาวุโสมักจะมอบผ้าขาวม้าไว้เป็นมรดกแก่ลูกหลานก่อนสิ้นบุญ
- ผ้าขาวม้ามหาสารคาม ที่มีชื่อเสียงคือบ้านหนองหิน ตำบลโคกก่อ อำเภอเมือง เอกลักษณ์โดดเด่น คือทอมือสีธรรมชาติ พัฒนาลวดลายให้ทันสมัย มีคุณภาพดีจนส่งไปจำหน่ายยังประเทศญี่ปุ่นในนาม ‘ศิลาภรณ์’ และยังแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์ต่างๆ เช่น เสื้อผ้า รองเท้า กระเป๋า ผ้าห่ม เป็นต้น
- ผ้าขาวม้าขอนแก่น มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว มีความวิจิตรพิสดารตระการตา ผสมผสานความคิดสร้างสรรค์เป็นลายเฉพาะของผ้าขาวม้าจังหวัดขอนแก่น ซึ่งเป็นลาย ‘หมี่กง’ อันเป็นต้นแบบและเป็นลายเก่าแก่ของผ้าเมืองขอนแก่น เน้นที่สีม่วง แดง เขียว ซึ่งจัดเป็นสีดั้งเดิมของผ้าขาวม้าขอนแก่น และทำการทอลักษณะแบบ 3 ตะกอจึงทำให้ผ้าหนาเนื้อแน่นภาคเหนือ เรียกผ้าขาวม้าว่า ผ้าหัว ผ้าตะโก้งหรือตาโก้ง ซึ่งหมายถึงผ้าลายตาราง ผ้าเตี่ยว
- ผ้าขาวม้าแพร่ พบในพื้นที่อำเภอเมือง อำเภอสูงเม่น อำเภอสอง และอำเภอร้องกวาง การทอลักษณะแบบ ‘จก’ ที่บริเวณของผ้าขาวม้าด้วย เรียกว่า ‘ผ้าขาวม้ามีเชิง’ เชิงของผ้าขาวม้าจะมีเทคนิคการจกลวดลายเพิ่มเติมเข้าไปในตัวผ้า ส่วนใหญ่จะเป็นลายหมากรุกหรือลวดลายเรขาคณิตทั่วไป ส่วนลายที่จกจะเป็นลายสัตว์ตามคตินิยมความเชื่อและขนบธรรมเนียมประเพณีของแต่ละกลุ่มชน เช่น ลายนก ลายช้าง ลายม้า เป็นต้น
- ผ้าขาวม้าน่าน การทอผ้าของชาวน่านมีมาตั้งแต่บรรพบุรุษดังปรากฏภาพฝาผนังในวัดภูมินทร์ จะเรียกกันว่า ‘ผ้าตะโก้ง’ ส่วนมากมักนิยมทอด้วยฝ้าย เส้นฝ้ายนั้นทำเองตั้งแต่ปั่นฝ้าย ย้อมสีจากเปลือกไม้กลัด ไม้ประดู่ มะเกลือ ใบสัก เป็นต้น เดิมจะนิยมทอผ้าขาวม้าเป็นสีแดงดำ ซึ่งเป็นสีดั้งเดิม แต่ปัจจุบันนิยมทอผ้าขาวม้าให้มีสีคลาสสิกมากยิ่งขึ้น โดยเน้นสีเขียว ฟ้า น้ำตาล เป็นสีที่กลมกลืนกับธรรมชาติบริเวณชายผ้ามักจะจกลายช้าง ลายม้า ลายเจดีย์ ลายยกดอก ลวดลายที่ทอเน้นเกี่ยวกับความเชื่อ ความเป็นสิริมงคลแก่ผู้ใช้และแล้วก็มาถึงยุคใหม่ของผ้าขาวม้า จากผ้าธรรมดาสี่เหลี่ยมถูกนำมาใส่ไอเดีย แปลงโฉมกลายเป็นสิ่งต่างๆ มากมายนับไม่ถ้วนทั้งเกี่ยวกับสุขภาพ แฟชั่น ของแต่งบ้าน ไปจนถึงอุปกรณ์ไฮเทค ตัวอย่างเช่น
- สงกรานต์เมษา ผ้าขาวม้ารวมไทย ‘ม่วนสงกรานต์ ล้านนา’ ปี 2556 ถือเป็นปีทองของ ‘ผ้าขาวม้า’ โดยกระทรวงวัฒนธรรม จัดงานสงกรานต์โดยนำผ้าขาวม้ามาเป็นไฮไลท์สำคัญที่กรุงเทพฯ ส่งเสริมให้คนรุ่นใหม่ได้สัมผัสถึงผ้าขาวม้าซึ่งเคยคิดว่าเป็นของเชย เช่น มีขบวนมหาสงกรานต์ผ้าขาวม้ารวมไทย การประกวดแฟชั่นดีไซน์ ‘แฟชั่นจ๋า ผ้าขาวม้าสไตล์’ เดินแฟชั่นบนแคทวอล์กผ้าขาวม้ายาวที่สุดแห่งปี และชวนให้มาเต้น ‘แฟลชม็อบผ้าขาวม้า 3 ช่า’ งานนี้จุดประกายให้ผ้าขาวม้ากลายเป็นกระแสใหม่ที่ได้รับการยอมรับในวงการแฟชั่นอย่างกว้างขวาง
- ผ้าขาวม้าประยุกต์ จากความชอบในลายตารางบนผืนผ้าขาวม้า คุณฉัตรี ชุติสุนทรากุล จึงเกิดไอเดียในการนำผ้าขาวม้ามาสู่การผลิตเป็นสินค้าให้สอดคล้องกับไลฟ์สไตล์คนรุ่นใหม่ที่สามารถจับต้องผ้าขาวม้าได้และเกิดการใช้งานอย่างภาคภูมิ ภายใต้แบรนด์ ‘nim’s’ ซึ่งสินค้าทุกชิ้นจะใช้ผ้าแคนวาสผสมกับผ้าขาวม้า ผลิตภัณฑ์มีทั้งกระเป๋าสำหรับใส่เครื่องสำอาง กระเป๋าโน้ตบุ๊ค ซอฟเคส รวมถึงไอแพดเคส สามารถใช้ได้ทั้งผู้ชายและผู้หญิง เป็นที่ชื่นชอบของชาวต่างประเทศและกลุ่มวัยรุ่นคนไทย
- ผ้าขาวม้าสู่สากล ด้วยความคิดอยากหาไอเดียทำธุรกิจ นายพรเทพ แซ่ลี้ อดีตนักข่าว เห็นเสน่ห์ของผ้าขาวม้าไทย ซึ่งคนต่างชาติก็มองเห็นเป็นลายสก๊อตและมีความคุ้นเคยอยู่แล้ว จึงนำมาพัฒนาจนเป็นผลิตภัณฑ์ได้มากมายไม่รู้จบในชื่อ ‘บุษบา’ ตั้งแต่กระเป๋า ตุ๊กตา เสื้อผ้า และของแต่งบ้านที่น่าสนใจมากคือ เคสโทรศัพท์และแท็บเล็ต อนาคตยังตั้งใจคิดค้นต่อให้กลายเป็นกระเป๋าเดินทาง ไปจนถึงเฟอร์นิเจอร์ส่งออกอีกด้วย

"ผ้าขาวม้า" เป็นอาภรณ์ที่อยู่คู่กับคนไทยมาทุกยุคทุกสมัย โดยนิยมใช้กันทั่วๆไปโดยเฉพาะตามชนบท โดยประวัติผ้าขาวม้าอาจจะไม่ใช่ผ้าของคนไทย แต่ระยะเวลาที่ยาวนานกว่า 900 ปี ที่ผ่านไป ผ้าขาวม้านับได้ว่าเป็นผ้าสารพัดประโยขน์อย่างแท้จริง เพราะอย่างน้อยด้วยรูปลักษณ์และลวดลายที่มีการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง ซึ่งได้รวมไว้ทั้งศาสตร์แห่งสีสันและศิลป์แห่งลายผ้าไทยนำมาผสมผสานกันอย่างกลมกลืน
ผ้าขาวม้าเป็นผ้าที่อำนวยความสะดวกให้กับคนไทยมาหลายศตวรรษ โดยไม่มีทีท่าว่าจะสูญหายไปง่ายๆ เนื่องด้วยประโยชน์ของผ้ามีมากมายนานัปการ ทั้งนี้เพราะผ้าขาวม้ามีความเกี่ยวข้องกับวิถีทางแห่งการดำรงชีวิตมากมายหลายอย่างด้วยกัน จะเห็นได้อย่างชัดเจนว่า "ผ้าขาวม้า" คือสิ่งมหัศจรรย์แห่งสายใยที่ถักทอไว้อย่างประณีต จากตำนานกาลเวลา และคุณค่าอันน่ายกย่อง สรุปความได้ว่าประโยชน์ของผ้าขาวม้าใช้กันตั้งแต่เกิดจนกระทั่งตาย.
ข้อมูล : สำนักหอสมุดกลาง ม.รามคำแหง, สะออนเด้, https://www.thansettakij.com, www.sac.or.th