รมว.มท ประชุมร่วม รมว.คลัง ขับเคลื่อน “โครงการคนละครึ่ง” เพื่อรักษาระดับการบริโภคภายในประเทศ ฟื้นฟูเศรษฐกิจฐานรากให้ประชาชน

รมว.มท ประชุมร่วม รมว.คลัง ขับเคลื่อน “โครงการคนละครึ่ง” เพื่อรักษาระดับการบริโภคภายในประเทศ ฟื้นฟูเศรษฐกิจฐานรากให้ประชาชน

     วันนี้ (22 ต.ค. 63) เวลา 09.30 น. ที่ห้องประชุมราชสีห์ ชั้น 2 ศาลาว่าการกระทรวงมหาดไทย พลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย เป็นประธานการประชุมเพื่อชี้แจงรายละเอียดโครงการคนละครึ่งผ่านระบบวีดิทัศน์ทางไกล (VCS) ร่วมกับ นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง โดยมี นายฉัตรชัย พรหมเลิศ ปลัดกระทรวงมหาดไทย ผู้บริหารระดับสูงของกระทรวงมหาดไทย นายผยง ศรีวณิช กรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) ผู้บริหารสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง กระทรวงการคลัง ร่วมการประชุม โอกาสนี้ ผู้ว่าราชการจังหวัด รองผู้ว่าราชการจังหวัด ปลัดจังหวัด หัวหน้าสำนักงานจังหวัด คลังจังหวัด นายอำเภอ และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง ร่วมการประชุมผ่านระบบ VCS

     พลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา กล่าวว่า จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) ส่งผลกระทบต่อสภาพเศรษฐกิจโลกและเศรษฐกิจภาพรวมของประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเศรษฐกิจฐานรากที่ส่งผลกระทบกับประชาชนในระดับพื้นที่ ซึ่งรัฐบาลได้ให้ความเห็นชอบ “โครงการคนละครึ่ง” มีเป้าหมายเพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจระดับฐานราก ช่วยให้ภาคประชาชนลดค่าใช้จ่ายของตนเอง ทั้งค่าอาหารและเครื่องดื่มและอื่นๆ  รวมทั้งผู้ประกอบการ/ร้านค้ารายย่อย ร้านค้าทั่วไป เช่น หาบเร่แผงลอย ร้านโชว์ห่วย เป็นต้น ที่ไม่ใช่นิติบุคคลและร้านสะดวกซื้อที่เป็นธุรกิจเฟรนไชส์ ซึ่งจะเป็นการช่วยเหลือประชาชนฐานรากอย่างแท้จริง จึงขอให้ผู้ว่าราชการ นายอำเภอ ปลัดอำเภอในพื้นที่ได้ร่วมกันทำงานกับกระทรวงการคลังเพื่อให้โครงการสำเร็จตามเป้าหมาย

     นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ กล่าวว่า คณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ 29 กันยายน 2563 เห็นชอบและอนุมัติ “โครงการคนละครึ่ง” ของกระทรวงการคลัง ซึ่งโครงการดังกล่าวจะช่วยเหลือดูแลพ่อค้าแม่ค้าขนาดเล็กที่ประกอบกิจการขายสินค้าหาบเร่แผงลอยที่เป็นบุคคลธรรมดา เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจในไตรมาสสุดท้ายของปี (เดือนตุลาคม-ธันวาคม 2563) ลดค่าใช้จ่ายของประชาชน โดยที่รัฐบาลจะออกค่าใช้จ่ายให้ครึ่งหนึ่ง

     นางสาวกาญจนา ตั้งปกรณ์ ผู้แทนสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง กล่าวว่า โครงการคนละครึ่ง เป็นหนึ่งในมาตรการรักษาระดับการบริโภคภายในประเทศ ครอบคลุม 76 จังหวัดและกรุงเทพมหานคร โดยกลุ่มประเภทร้านค้าเป็นผู้ประกอบการรายย่อย ร้านค้าทั่วไป ร้านค้าของบุคคลธรรมดา หาบเร่ แผงลอย ที่ไม่ใช่นิติบุคคลและไม่ใช่ธุรกิจแฟรนไชส์ (ไม่รวมการสลากกินแบ่งรัฐบาล เครื่องดื่มแอลกฮอล์และการบริการ) ด้วยการชำระเงินผ่าน G-Wallet แอปพลิเคชั่น "ถุงเงิน" โดยประชาชนจะชำระเงินร้อยละ 50 และภาครัฐจะชำระอีกร้อยละ 50 วันละไม่เกิน 150 บาท/คน รวมไม่เกินคนละ 3,000 บาท ตลอดโครงการ โดยผู้ประกอบการจะได้รับเงินคืนในวันรุ่งขึ้น

     ทั้งนี้ ในขั้นตอนการลงทะเบียนร้านค้า และการตรวจสอบร้านค้า เพื่อให้เกิดความสะดวกและรวดเร็ว ในการลงทะเบียนร้านค้าให้มากยิ่งขึ้น จึงขอความร่วมมือกระทรวงมหาดไทยลงพื้นที่ประชาสัมพันธ์เชิญชวนร้านค้าเข้าร่วมโครงการ และรับรองผู้ประกอบการร้านค้า ตามที่กำหนด เพื่ออำนวยความสะดวก และความรวดเร็ว ของการลงทะเบียนร้านค้า ในโครงการคนละครึ่ง ต่อไป

     นายฉัตรชัย พรหมเลิศ กล่าวว่า โครงการคนละครึ่งเป็นโครงการเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจฐานราก มีเป้าหมายผู้ประกอบการร้านค้า จำนวน 1 ล้านราย และเป้าหมายประชาชน (ผู้ซื้อ) 10 ล้านราย ดังนั้น ทุกจังหวัด/อำเภอ จะต้องทำให้ผู้ประกอบการร้านค้ารายย่อยและประชาขนเข้าใจการลงทะเบียนเข้าร่วมโครงการ โดยใช้กลไกกำนัน ผู้ใหญ่บ้าน เป็นผู้ยืนยันสถานะการเป็นผู้ประกอบการรายย่อย

     นายธนาคม จงจิระ อธิบดีกรมการปกครอง กล่าวว่า ขอให้นายอำเภอ และปลัดอำเภอประจำตำบล เร่งประชาสัมพันธ์สร้างการรับรู้ผ่านกลไกช่องทางการสื่อสารทั้งหอกระจายข่าวและการประชุมทุกระดับ รวมทั้งให้ความช่วยเหลือ คำแนะนำ และอำนวยความสะดวกผู้ประกอบการในการเข้าร่วมโครงการ โดยกำนัน ผู้ใหญ่บ้าน ต้องเป็นผู้ยืนยันสถานะร้านค้าและผู้ประกอบการในพื้นที่ นอกจากนี้ ต้องสนับสนุนและอำนวยความสะดวกธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) ในพื้นที่ จัดชุดเคลื่อนที่ (Mobile Unit) เชิงรุกเข้าไปในพื้นที่ในแต่ละตำบลเพื่อรับสมัครผู้ประกอบการร้านค้าเข้าร่วมโครงการ

     พลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา กล่าวเพิ่มเติมว่า ขอให้ผู้ว่าราชการจังหวัดทุกจังหวัด นายอำเภอ ปลัดอำเภอ พัฒนากร รวมทั้งกำนัน ผู้ใหญ่บ้าน ร่วมกันสร้างการรับรู้และความเข้าใจกับผู้ประกอบการร้านค้ารายย่อยในการเข้าร่วม “โครงการคนละครึ่ง” เพื่อช่วยกันกระตุ้นเศรษฐกิจฐานรากให้เดินไปได้ เมื่อผู้ประกอบการร้านค้าลงทะเบียนมากขึ้น ประชาชนจะมีช่องทางใช้เงินเพิ่มขึ้น ซึ่งจะเกิดประโยชน์สูงสุดกับพี่น้องประชาชน 

ที่มา  https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/36157


Line

คะแนนโหวต :
StarStarStarStarStar