วัยรุ่นยุค 5G รู้จักวิธีฝังยาคุมกำเนิด หรือยัง??

การคุมกำเนิด ไม่ใช่เรื่องไกลตัวของวัยรุ่นในยุค 5G อีกต่อไป แต่ถ้า..ไม่อยากตกเทรนด์ก็ต้องอัพเดทเรื่อง “ยาฝังคุมกำเนิด” กันหน่อยนะคะ

ยาฝังคุมกำเนิด คือ ฮอร์โมน ที่บรรจุเอาไว้ในหลอดพลาสติกเล็กๆ ความยาวขนาดประมาณไม้ขีดไฟ

ยาฝังคุมกำเนิด เป็นการคุมกำเนิดกึ่งถาวรระยะยาว สามารถป้องกันการตั้งครรภ์สูงสุดได้ถึง 99% โอกาสตั้งครรภ์เพียง 1 ใน 2,000 เท่านั้น

คงเคยได้ยินคำสั้นๆ ที่ว่า .... “ยาฝัง 1 แท่ง 2 นาที 3 ปี” นั่นคือ

ยาฝังคุมกำเนิด 1 แท่ง ใช้คุมกำเนิดโดยฮอร์โมนโปรเจสติน ที่ค่อยๆ ซึมเข้าสู่ร่างกาย

การฝังยาคุมใช้เวลา ไม่เกิน 2 นาที โดยฝังแท่งยาใต้ชั้นผิวหนัง บริเวณใต้ท้องแขนด้านใน แท่งยาไม่สลายเอง เมื่อครบกำหนดต้องถอดหลอดยาฝังออก

ยาฝังคุมกำเนิด ป้องกันการตั้งครรภ์ได้ถึง 3 ปี

ข้อดีของยาฝังคุมกำเนิด

• สะดวก มีประสิทธิภาพสูง และคุมกำเนิดได้นาน

• ไม่รบกวนการมีเพศสัมพันธ์ หรือการใช้ชีวิตประจำวัน

• ไม่ต้องกังวล เรื่อง การตั้งครรภ์ หรือปัญหาลืมกินยาเม็ดคุมกำเนิด

• ใช้ในสตรีให้นมบุตรได้ โดยไม่มีผลต่อปริมาณและคุณภาพของน้ำนม เมื่อหยุดการใช้ยาฝังคุมกำเนิด จะสามารถกลับมามีบุตรได้ตามปกติ

แบบนี้ใช้ยาฝังคุมกำเนิดไม่ได้

• ตั้งครรภ์ หรือสงสัยว่าตั้งครรภ์

• มีเลือดออกผิดปกติทางช่องคลอดโดยไม่ทราบสาเหตุ

• สงสัยหรือเป็นมะเร็งของอวัยวะสืบพันธ์หรือเต้านม

• มีข้อห้ามในการใช้ฮอร์โมนโปรเจสโตเจน

• เป็นโรคตับแข็ง หรือมะเร็งตับ

หากคุมกำเนิดด้วยวิธีอื่นอยู่ ต้องการเปลี่ยนมาฝังยาคุมกำเนิดได้มั้ย?

• ยาเม็ดคุมกำเนิด สามารถฝังยาคุมกำเนิดได้เลย โดยไม่ต้องกินยาเม็ดคุมกำเนิดต่อ

• ยาฉีดคุมกำเนิด แนะนำให้ฝังยาคุมกำเนิด เมื่อครบกำหนดวันที่จะต้องฉีดยา

• ห่วงอนามัย ฝังยาคุมกำเนิดเมื่อใดก็ได้

• ถุงยางอนามัย หรือไม่ได้คุมกำเนิด แนะนำให้ฝังยาภายใน 7 วันแรก นับจากวันที่ประจำเดือนมา หากเกินจากนี้ต้องคุมกำเนิดด้วยถุงยางอนามัยร่วมด้วยไปก่อน 7 วัน

การฝังยาคุมกำเนิดอาจมี อาการข้างเคียง เช่น ปวดศรีษะ. คลื่นไส้. ประจำเดือนมากะปริดกะปรอยเป็นสิว หรือมีอารมณ์แปรปรวนได้บ้าง ทั้งนี้ อาการข้างเคียงส่วนใหญ่จะหายได้เองภายใน 6 เดือน หากผู้รับบริการยาฝังคุมกำเนิดมีอาการมากกว่าปกติที่กล่าวมา สามารถขอรับคำปรึกษา และการรักษาได้จากสถานบริการได้ทันทีค่ะ